1. ทุก 6 เดือน: สำหรับการใช้งานแอร์ทั่วไปในบ้านพักอาศัย ถ้าไม่ได้ใช้งานอย่างหนัก การล้างแอร์ปีละ 2 ครั้งก็เพียงพอ ช่วยลดการสะสมของฝุ่นละอองและเชื้อโรค
2. ทุก 3 เดือน: หากใช้แอร์บ่อยหรือใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่นในสำนักงาน ร้านค้า หรือพื้นที่ที่ต้องการความเย็นตลอดทั้งวัน ควรล้างแอร์ทุกๆ 3 เดือนเพื่อรักษาประสิทธิภาพและความสะอาด
3. ทุก 1-2 เดือน: สำหรับสถานที่ที่มีฝุ่นเยอะ หรือในครอบครัวที่มีเด็กเล็ก คนที่เป็นภูมิแพ้ หรือสัตว์เลี้ยง ควรล้างแอร์บ่อยขึ้น เช่น ทุกๆ 1-2 เดือน เพื่อลดการสะสมของฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้
4. สัญญาณที่แสดงว่าแอร์ควรล้าง:
แอร์เย็นน้อยลงหรือไม่ค่อยเย็นเหมือนเดิม
มีกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาจากแอร์
แอร์มีเสียงดังผิดปกติ
มีน้ำหยดหรือน้ำรั่วจากเครื่องปรับอากาศ
การล้างแอร์เป็นการดูแลรักษาที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศ ลดค่าไฟฟ้า และรักษาสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ดังนั้น ควรตั้งเวลาและทำความสะอาดแอร์ตามความถี่ที่เหมาะสมเพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศ อย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่อง แต่ยังช่วยให้แอร์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และช่วยให้คุณมีอากาศที่สะอาดสดชื่นในบ้านหรือที่ทำงาน นี่คือวิธีการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศที่ควรปฏิบัติ:
1. ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศเป็นประจำ
แผ่นกรองอากาศ ควรถอดออกมาทำความสะอาดทุกๆ 1-2 สัปดาห์ หรือเดือนละครั้งสำหรับการใช้งานทั่วไป
ใช้แปรงขนนุ่มหรือผ้าเปียกเช็ดทำความสะอาดฝุ่นที่สะสม หรืออาจล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วผึ่งให้แห้งก่อนใส่กลับไป
การทำความสะอาดแผ่นกรองช่วยให้แอร์เย็นขึ้น ลดการทำงานหนัก และประหยัดค่าไฟฟ้าได้
2. ล้างคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน
คอยล์เย็น (ส่วนที่อยู่ภายในห้อง) ควรล้างทุกๆ 6 เดือนหรือ 3 เดือน สำหรับพื้นที่ที่มีฝุ่นมาก หรือใช้งานแอร์อย่างหนัก
คอยล์ร้อน (ส่วนที่อยู่ภายนอก) ก็ควรล้างเป็นระยะๆ เพื่อขจัดฝุ่นหรือสิ่งสกปรกที่อาจเกาะติดอยู่ เพราะจะส่งผลให้เครื่องทำงานหนักขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น
3. ตรวจเช็คท่อน้ำทิ้ง
ท่อน้ำทิ้งที่อุดตันจะทำให้เกิดปัญหาน้ำรั่วไหล ดังนั้นควรตรวจสอบและทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่ใช้งานเครื่องปรับอากาศหนัก
หากพบว่าท่อน้ำทิ้งอุดตันหรือมีสิ่งสกปรกสะสม ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแล
4. ตรวจสอบการทำงานของรีโมทคอนโทรลและตั้งค่าอุณหภูมิให้เหมาะสม
ตรวจเช็คการทำงานของรีโมทคอนโทรลและแบตเตอรี่ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรตั้งอุณหภูมิแอร์ให้เหมาะสม เช่น 25-27 องศาเซลเซียส ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานและช่วยให้เครื่องไม่ทำงานหนักเกินไป
5. เช็คระบบไฟฟ้าและสายไฟ
ตรวจสอบสภาพสายไฟและปลั๊กเสียบว่ามีการชำรุดหรือมีคราบสกปรกหรือไม่ การดูแลเรื่องนี้จะช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาด้านไฟฟ้าหรือไฟรั่วซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน
6. ตรวจสอบเสียงและกลิ่น
หากได้ยินเสียงดังผิดปกติหรือมีกลิ่นอับจากเครื่องปรับอากาศ ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพหรือปัญหาภายในเครื่อง
7. ล้างแอร์และตรวจสอบโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ
ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาล้างแอร์และตรวจสอบระบบอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อเช็คว่ามีส่วนไหนที่เสื่อมสภาพหรือชำรุด รวมถึงตรวจเช็คสารทำความเย็น (น้ำยาแอร์) เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพ
8. ป้องกันไม่ให้แอร์ถูกแสงแดดโดยตรง
โดยเฉพาะคอยล์ร้อนที่อยู่นอกบ้าน หากติดตั้งในบริเวณที่โดนแสงแดดจ้า ควรหาที่บังแดดหรือติดตั้งในที่ร่ม เพราะแสงแดดจะทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้นและเสื่อมสภาพได้เร็ว
การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดค่าไฟฟ้า และยืดอายุการใช้งานไปได้อีกหลายปี การหมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองและส่วนต่างๆ ของแอร์เป็นประจำ รวมถึงการตรวจสอบระบบโดยช่างผู้เชี่ยวชาญตามรอบเวลา จะทำให้เครื่องปรับอากาศของคุณใช้งานได้ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ร่วมกันทำให้เรื่องอสังหาฯ ง่ายขึ้น