โดนัลด์ ทรัมป์: จากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
โดนัลด์ ทรัมป์: จากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
การขยายธุรกิจระดับนานาชาติ
Trump International Hotel and Tower
มีสาขาในหลายเมืองทั่วโลก นิวยอร์ค, ชิคาโก, ลาสเวกัส, วอชิงตัน ดี.ซี. โครงการในต่างประเทศ: ดูไบ, ปานามา, ฟิลิปปินส์
สนามกอล์ฟ
เป็นเจ้าของสนามกอล์ฟกว่า 17 แห่งทั่วโลก รวมถึง Trump National Doral ในไมอามี ลงทุนในสกอตแลนด์และไอร์แลนด์
วิธีการทำธุรกิจที่โดดเด่น
1. การสร้างแบรนด์ใช้ชื่อ “Trump” เป็นแบรนด์สินค้าระดับหรู
เน้นการตลาดและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
สร้างภาพลักษณ์ความหรูหราและความสำเร็จ
2. การเจรจาต่อรอง
มีชื่อเสียงด้านการเจรจาต่อรองที่แข็งกร้าว
เขียนหนังสือ “The Art of the Deal” เกี่ยวกับเทคนิคการเจรจา
ใช้อำนาจต่อรองกับธนาคารและนักลงทุน
3. การบริหารความเสี่ยง
ใช้บริษัทย่อยในการแยกความเสี่ยงแต่ละโครงการ
บริหารหนี้และการล้มละลายอย่างมีกลยุทธ์
ปรับตัวตามสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์
ความท้าทายและวิกฤตการณ์
วิกฤตการณ์ทางการเงินช่วงปี 1990 ธุรกิจคาสิโนประสบปัญหาหนี้สินต้องปรับโครงสร้างหนี้กว่า 3 พันล้านดอลลาร์ สูญเสียทรัพย์สินส่วนตัวบางส่วน
การฟื้นตัวทางธุรกิจปรับกลยุทธ์มาเน้นการให้ใช้ชื่อแบรนด์ (Licensing)
ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจบันเทิงและสื่อ
สร้างรายได้จากรายการโทรทัศน์ “The Apprentice”
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.
จุดเริ่มต้นกับ Elizabeth Trump & Son
หลังจบการศึกษาในปี 1968 ทรัมป์เข้าร่วมธุรกิจครอบครัว Elizabeth Trump & Son ซึ่งก่อตั้งโดยคุณย่าของเขา เอลิซาเบธ ทรัมป์ และดำเนินการต่อโดยบิดาของเขา เฟรด ทรัมป์ ในช่วงแรก เขาได้รับเงินทุนจากบิดาประมาณ 1 ล้านดอลลาร์เพื่อเริ่มต้นธุรกิจ
การขยายธุรกิจสู่แมนฮัตตัน
ในปี 1971 ทรัมป์ได้รับการควบคุมบริษัทและเปลี่ยนชื่อเป็น The Trump Organization โดยมีวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจจากควีนส์และบรูคลินสู่แมนฮัตตัน ซึ่งเป็นย่านที่มีศักยภาพสูงกว่าโครงการสำคัญ
1. Commodore Hotel (1976)
โครงการแรกในแมนฮัตตัน
ปรับปรุงโรงแรมเก่าให้กลายเป็น Grand Hyatt
ได้รับการลดหย่อนภาษีจากเมืองนิวยอร์ค
2. Trump Tower (1983)
อาคารสูง 58 ชั้นบนถนน Fifth Avenue
เป็นทั้งที่พักอาศัยหรูและพื้นที่สำนักงาน
กลายเป็นสัญลักษณ์ของจักรวรรดิธุรกิจทรัมป์
มูลค่าโครงการกว่า 300 ล้านดอลลาร์
3. Trump Plaza และ Trump Palace
คอนโดมิเนียมหรูในนิวยอร์ค
ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของเมือง
ราคาขายสูงที่สุดในช่วงทศวรรษ 1980s
ธุรกิจคาสิโน
1. Trump Plaza Casino (1984)
คาสิโนแห่งแรกในแอตแลนติกซิตี ลงทุนกว่า 250 ล้านดอลลาร์
2. Trump’s Castle (1985)
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Trump Marina หนึ่งในคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในแอตแลนติกซิตี
3. Trump Taj Mahal (1990)
ใช้เงินลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ถูกขนานนามว่าเป็น “8th Wonder of the World” ประสบปัญหาทางการเงินและล้มละลายในปี 1991
การขยายธุรกิจระดับนานาชาติ
Trump International Hotel and Tower
มีสาขาในหลายเมืองทั่วโลก นิวยอร์ค, ชิคาโก, ลาสเวกัส, วอชิงตัน ดี.ซี. โครงการในต่างประเทศ: ดูไบ, ปานามา, ฟิลิปปินส์
สนามกอล์ฟ
เป็นเจ้าของสนามกอล์ฟกว่า 17 แห่งทั่วโลก รวมถึง Trump National Doral ในไมอามี ลงทุนในสกอตแลนด์และไอร์แลนด์
วิธีการทำธุรกิจที่โดดเด่น
1. การสร้างแบรนด์ใช้ชื่อ “Trump” เป็นแบรนด์สินค้าระดับหรู
เน้นการตลาดและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
สร้างภาพลักษณ์ความหรูหราและความสำเร็จ
2. การเจรจาต่อรอง
มีชื่อเสียงด้านการเจรจาต่อรองที่แข็งกร้าว
เขียนหนังสือ “The Art of the Deal” เกี่ยวกับเทคนิคการเจรจา
ใช้อำนาจต่อรองกับธนาคารและนักลงทุน
3. การบริหารความเสี่ยง
ใช้บริษัทย่อยในการแยกความเสี่ยงแต่ละโครงการ
บริหารหนี้และการล้มละลายอย่างมีกลยุทธ์
ปรับตัวตามสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์
ความท้าทายและวิกฤตการณ์
วิกฤตการณ์ทางการเงินช่วงปี 1990 ธุรกิจคาสิโนประสบปัญหาหนี้สินต้องปรับโครงสร้างหนี้กว่า 3 พันล้านดอลลาร์ สูญเสียทรัพย์สินส่วนตัวบางส่วน
การฟื้นตัวทางธุรกิจปรับกลยุทธ์มาเน้นการให้ใช้ชื่อแบรนด์ (Licensing)
ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจบันเทิงและสื่อ
สร้างรายได้จากรายการโทรทัศน์ “The Apprentice”
Simplifying Property, Together.
ร่วมกันทำให้เรื่องอสังหาฯ ง่ายขึ้น
คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้
การห้ามเลี้ยงสัตว์ในคอนโด: สิทธิและข้อจำกัด
คอนโดมิเนียมเป็นที่อยู่อาศัยยอดนิยมสำหรับคนเมืองในปัจจุบัน ด้วยความสะดวกสบาย การดูแลรักษาที่ง่าย และทำเลที่มักอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงที่มองหาที่อยู่อาศัยในคอนโด อาจต้องระมัดระวังเรื่อง “นโยบายการห้ามเลี้ยงสัตว์” ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่พบได้บ่อยในคอนโดหลายแห่ง ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกเหตุผลที่คอนโดบางแห่งห้ามเลี้ยงสัตว์ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้อยู่อาศัย การเลี้ยงสัตว์ในคอนโดมิเนียมเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน ระหว่างผู้อยู่อาศัยที่รักสัตว์เลี้ยงกับกฎระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุด บทความนี้จะอธิบายถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง
คอนโดเลี้ยงสัตว์ในกรุงเทพฯกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะหลายคนต้องการพาน้องหมา น้องแมว หรือสัตว์เลี้ยงคู่ใจมาอยู่ร่วมกัน ซึ่งคอนโดที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้มักจะมีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องขนาดและประเภทของสัตว์ รวมถึงมีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เช่น สวนสัตว์เลี้ยงหรือ Dog Park เพื่อให้สัตว์เลี้ยงได้วิ่งเล่นและออกกำลังกายได้
1. เหตุผลที่คอนโดบางแห่งห้ามเลี้ยงสัตว์
ความสะอาดและสุขอนามัย: สัตว์เลี้ยงเช่น สุนัขและแมว มักมีขนหลุดร่วง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ได้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์และการขับถ่ายที่อาจไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้หลายคอนโดต้องการรักษาความสะอาดและสุขอนามัยของส่วนกลางโดยการห้ามเลี้ยงสัตว์
การรบกวนเพื่อนบ้าน: สัตว์เลี้ยงบางชนิดอาจส่งเสียงรบกวน เช่น การเห่า การร้อง หรือการเคาะประตู ส่งผลให้เพื่อนบ้านรู้สึกรำคาญ คอนโดที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่นจึงต้องการลดปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งด้วยการห้ามเลี้ยงสัตว์
ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ: สัตว์เลี้ยงที่อยู่ในพื้นที่จำกัดอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น การกัดเฟอร์นิเจอร์หรือการหลบหนีลงจากระเบียง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสัตว์เองหรือผู้พักอาศัย
2. ข้อดีของคอนโดที่ห้ามเลี้ยงสัตว์
สำหรับผู้ที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ นโยบายการห้ามเลี้ยงสัตว์ในคอนโดถือเป็นข้อดี เนื่องจากสามารถช่วยให้การอยู่อาศัยเป็นไปอย่างสงบสุขและลดโอกาสเกิดการรบกวน นอกจากนี้ คอนโดที่ห้ามเลี้ยงสัตว์มักมีความสะอาด และมีบรรยากาศที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงและการดูแลรักษาที่น้อยลง
3. ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่รักสัตว์เลี้ยง
หากคุณเป็นคนรักสัตว์ การเลือกคอนโดที่ห้ามเลี้ยงสัตว์อาจเป็นข้อจำกัดอย่างมาก หากคุณนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาโดยไม่แจ้งหรือฝ่าฝืนนโยบายคอนโด คุณอาจเผชิญกับปัญหา เช่น การถูกปรับค่าธรรมเนียมสูง การถูกเชิญให้ออกจากคอนโด หรือถูกฟ้องร้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ การฝ่าฝืนข้อกำหนดอาจทำให้คุณมีปัญหากับเพื่อนบ้านและคณะกรรมการอาคารด้วย ดังนั้น หากคุณเป็นคนรักสัตว์ ควรเลือกคอนโดที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอนโดที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยง
ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พระราชบัญญัติอาคารชุดซึ่งได้กำหนดข้อบังคับและสิทธิหน้าที่ของนิติบุคคลอาคารชุดในการกำหนดกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงสัตว์
1. นิติบุคคลอาคารชุดมีสิทธิออกข้อบังคับห้ามเลี้ยงสัตว์ได้
นิติบุคคลอาคารชุดมีอำนาจในการออกกฎระเบียบหรือข้อบังคับ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของอาคารชุด รวมถึงการออกข้อบังคับที่ห้ามเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น เสียงรบกวน กลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือปัญหาความสะอาด
2. ต้องผ่านการลงมติจากที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม
การออกข้อบังคับต่างๆ ที่มีผลต่อผู้พักอาศัยในอาคารชุด จะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วม ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างเจ้าของร่วมทั้งหมดในอาคารชุด ข้อบังคับห้ามเลี้ยงสัตว์ก็เช่นกัน จะต้องได้รับการลงมติเห็นชอบจากเจ้าของร่วมในที่ประชุมใหญ่ เพื่อให้เป็นมติที่มีผลบังคับใช้อย่างถูกต้อง
3. ข้อบังคับต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี
แม้ว่านิติบุคคลอาคารชุดจะมีสิทธิในการออกข้อบังคับห้ามเลี้ยงสัตว์ แต่ข้อบังคับนั้นต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ข้อบังคับที่ออกมาจะต้องเป็นธรรม ไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเจ้าของร่วม และต้องไม่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้อยู่อาศัย
คอนโดที่ห้ามเลี้ยงสัตว์มีข้อดีในการช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยและสุขอนามัย แต่ก็อาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ที่รักสัตว์เลี้ยง หากคุณกำลังมองหาที่อยู่อาศัยในคอนโด ควรพิจารณานโยบายของคอนโดนั้นให้ละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อหรือเช่า และหากเป็นคนรักสัตว์ ควรมองหาคอนโดที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยงหรือบ้านเดี่ยวที่ไม่มีข้อจำกัดเหล่านี้
ในท้ายที่สุด การเลือกคอนโดที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณจะช่วยให้คุณสามารถอยู่อาศัยได้อย่างมีความสุขและมีความสบายใจ
Simplifying Property, Together.
ร่วมกันทำให้เรื่องอสังหาฯ ง่ายขึ้น
ข้อควรรู้เลี้ยงสัตว์ในคอนโด
การเลี้ยงสัตว์ในคอนโดมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบค่ะ ก่อนตัดสินใจเลี้ยงสัตว์ในคอนโด ควรตรวจสอบข้อกำหนดของทางโครงการอย่างละเอียด เพราะแต่ละโครงการมีกฎระเบียบที่แตกต่างกันไป บางโครงการอาจไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์เลย หรืออาจมีข้อจำกัดเรื่องขนาดหรือชนิดของสัตว์เลี้ยง เช่น ห้ามเลี้ยงสุนัขหรือแมวขนาดใหญ่ เป็นต้น
ข้อดีของการเลี้ยงสัตว์ในคอนโด:
- สร้างความสุขและผ่อนคลาย: สัตว์เลี้ยงช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุขให้กับผู้เลี้ยง ทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น
- มีเพื่อนคลายเหงา: สำหรับคนที่อยู่คนเดียว สัตว์เลี้ยงก็เปรียบเสมือนเพื่อนที่คอยอยู่เป็นเพื่อน ไม่ให้รู้สึกเหงา
- เพิ่มความรับผิดชอบ: การเลี้ยงสัตว์สอนให้เรารู้จักความรับผิดชอบ ต้องดูแลเอาใจใส่ และจัดการความต้องการของสัตว์เลี้ยง
ข้อเสียของการเลี้ยงสัตว์ในคอนโด:
- เสียงรบกวน: สัตว์เลี้ยงบางชนิดอาจส่งเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน เช่น เสียงเห่า เสียงร้อง หรือเสียงข่วนพื้น
- กลิ่น: กลิ่นจากสัตว์เลี้ยง เช่น กลิ่นอุจจาระ ปัสสาวะ หรือกลิ่นตัว อาจรบกวนเพื่อนบ้านได้
- ความสะอาด: ต้องหมั่นทำความสะอาด ดูแลความสะอาดของสัตว์เลี้ยงและพื้นที่อยู่อาศัย เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องกลิ่นและความสกปรก
- ข้อจำกัดด้านพื้นที่: คอนโดมีพื้นที่จำกัด อาจไม่เหมาะกับสัตว์เลี้ยงบางชนิดที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางในการเคลื่อนไหว
- ค่าใช้จ่าย: ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับอาหาร อุปกรณ์ และค่ารักษาพยาบาลสัตว์เลี้ยง
- ความรับผิดชอบ: การเลี้ยงสัตว์เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ความสนุกสนาน
- ปัญหาจากเพื่อนบ้าน: อาจเกิดความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านได้หากสัตว์เลี้ยงสร้างความรำคาญ
1.เลือกคอนโดแบบ Pet – Friendly
ข้อเริ่มต้นนี้ถือว่าสำคัญที่สุด เพราะเราไม่ควรแอบเอาสัตว์มาเลี้ยงโดยเด็ดขาดถ้าหากทางคอนโดเขาไม่อนุญาต เพราะเราเองก็คงใช้ชีวิตแบบไม่มีความสุข ต้องคอยหวาดระแวง หลบๆ ซ่อนๆ กลัวว่าจะถูกใครจับได้ อีกทั้งยังอาจต้องกักบริเวณเจ้าสัตว์เลี้ยงของเราเอง ทำให้สัตว์เลี้ยงเกิดความเครียดตามไปด้วย เรียกว่าไม่มีความสุขทั้งผู้เลี้ยงและสัตว์เลี้ยงเลยทีเดียว
2.ตัดใจไม่เลี้ยงสัตว์ใหญ่ หรือสัตว์ที่ส่งเสียงดังน่ารำคาญ
การเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น น้องหมาตัวใหญ่ จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก ซึ่งคอนโดส่วนใหญ่มักมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้คอนโดบางแห่ง มีการกำหนดขนาดของสัตว์เลี้ยงที่สามารถนำมาเลี้ยงในคอนโดได้
3.ปัญหาเรื่องกลิ่นต้องจัดการ
ถ้าใครที่เลี้ยงแมวหรือสุนัขจะรู้ดีกว่า สิ่งที่ตามมานอกจากเรื่องของขนที่ร่วงบ่อยแล้ว ก็คือปัญหาเรื่องของกลิ่น กลิ่นอับกับคอนโดซึ่งเป็นสถานที่ที่มีจุดระบายอากาศค่อนข้างน้อย ถือเป็นฝันร้ายสำหรับคนอยู่อาศัย เพราะการอยู่ในคอนโดที่มีพื้นที่จำกัดและตัวห้องติดๆ กันนั้น กลิ่นของสัตว์เลี้ยงที่เราชินจมูกไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร อาจจะลอยออกไปรบกวนเพื่อนบ้านก็เป็นได้ ดังนั้น เราผู้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยง ต้องหาวิธีกำจัดกลิ่นเหล่านั้นให้เรียบร้อย จะด้วยการทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงของเราเองบ่อยๆ, การทำความสะอาดกรงหรือพื้นที่เลี้ยงสัตว์นั้นบ่อยๆ
4.เก็บสิ่งขับถ่ายของสัตว์เลี้ยงทุกวัน
ปัญหาการกระทบกระทั่งกันที่เราเห็นอยู่บ่อยๆ ของคนชอบเลี้ยงสัตว์กับคนไม่เลี้ยงสัตว์ ส่วนใหญ่มักมาจากการขับถ่ายของสัตว์ที่เราเลี้ยง หากเป็นในห้องคอนโดของเราเอง คงไม่มีใครมาวุ่นวายด้วยมากนัก แต่ถ้าต้องพาเจ้าลูกรักของเราออกไปข้างนอก ไปเดินเล่นในพื้นที่ส่วนกลางของคอนโด หรือบางทีเจ้าน้องหมาน้องแมวของเรา ก็แอบเราออกไปเอง พวกสิ่งขับถ่ายที่เกิดขึ้นเหล่านี้ นอกจากจะสร้างความสกปรกให้กับพื้นที่แล้ว อุจจาระของน้อง ก็ยังเต็มไปด้วยเชื้อโรคและพยาธิมากมาย ดังนั้น หน้าที่สำคัญของผู้เลี้ยง ก็คือการเก็บสิ่งขับถ่ายของสัตว์เลี้ยงให้เรียบร้อย ซึ่งมีหลากหลายวิธี
5.ป้องกันสัตว์เลี้ยง ไม่ให้ออกไปเพ่นพ่านข้างนอกห้อง
สัตว์เลี้ยงบางประเภทสามารถก่อความรำคาญให้กับเพื่อนบ้านในคอนโดได้ หากมันหลุดออกไปเพ่นพ่าน บางคนชอบเลี้ยง นก หนู งู หรือสัตว์เลี้ยงแปลกๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่นิยมหรือกลัวก็มี หรือแม้กระทั่งน้องแมวธรรมดาที่ชอบออกไปหนีเที่ยวนอกห้อง ก็มักจะไปขับถ่ายของเสียทิ้งไว้ ฉะนั้น ถ้าหากเราจะเลี้ยงสัตว์ในคอนโด อย่าลืมปิดประตูและหน้าต่างให้เรียบร้อยหากเราไม่อยู่ และหมั่นตรวจสอบกรงหรืออุปกรณ์ที่เลี้ยงสัตว์เหล่านั้น ให้แข็งแรงแน่นหนาอยู่เสมอ และหากห้องของเราอยู่ชั้นที่สูงๆ บริเวณระเบียงด้านนอก ควรติดตะแกรงหรือตาข่ายไว้อย่างมิดชิด เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยง เช่น น้องหมาหรือน้องแมวที่กำลังซนและชอบปีนป่าย จะได้ไม่ตกลงไปข้างล่าง ซึ่งนอกจากจะเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น
สรุปแล้ว การเลี้ยงสัตว์ในคอนโดมิเนียมไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือแมว หรือสัตว์อื่นๆ หัวใจสำคัญ คือ ต้องคำนึงถึงเพื่อนร่วมอาศัยห้องคอนโดข้างเคียงเป็นหลัก เพราะทุกคนอยู่ภายในคอนโดเดียวกัน การรบกวนจะเกิดขึ้นได้มากกว่าที่พักอาศัยประเภทอื่นๆ ทั้งเรื่องของกลิ่นและเสียงของสัตว์เลี้ยง สามารถส่งผ่านไปถึงกันได้ง่าย จึงควรมีความรับผิดชอบ ทั้งในแง่จิตสำนึกต่อผู้อื่น และความเอาใจใส่ต่อสัตว์ที่เลี้ยงอยู่ด้วยนะคะ
Simplifying Property, Together.
ร่วมกันทำให้เรื่องอสังหาฯ ง่ายขึ้น
วิธีรับมือเพื่อนบ้าน
วิธีรับมือกับเพื่อนบ้าน
ปัจจุบันหนึ่งในรูปแบบการลงทุนอสังหาฯ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั้น ก็คือ การปล่อยเช่าคอนโด เนื่องจากความต้องการคอนโดในเมือง ในทำเลที่เดินทางสะดวก ไปทำงานได้แบบไม่ต้องฝ่ารถติดนั้นมีจำนวนมาก
อีกทั้งการลงทุนปล่อยเช่าคอนโดก็ไม่ได้ต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่อย่างที่คิด เพราะสามารถขอกู้สินเชื่อจากธนาคารได้ จึงทำให้นักลงทุนอสังหาฯ มือใหม่นิยมเริ่มต้นการลงทุนอสังหาฯ ของตัวเองด้วยการปล่อยเช่าคอนโดเป็นลำดับแรก
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรต้องรู้เอาไว้ก่อนที่จะตัดสินใจปล่อยเช่าคอนโดนั้น ก็คือ ข้อกฎหมายสำคัญที่อาจทำให้การปล่อยเช่ามีปัญหาได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายตามมาภายหลังเมื่อดำเนินการปล่อยเช่าไปแล้ว โดยข้อกฎหมายสำคัญที่ควรรู้ก่อนทำการปล่อยเช่าคอนโด มีดังต่อไปนี้
1. การปล่อยเช่าคอนโดรายวันรายสัปดาห์ผิดกฎหมาย
การประสบความสำเร็จของ AirBNB ที่ให้เจ้าของบ้าน ห้อง กลายมาเป็นเจ้าของโรงแรมปล่อยให้เช่าห้องของตัวเอง ทำให้เกิดกระแสการปล่อยเช่าคอนโดแบบรายวันรายสัปดาห์ขึ้นในไทย ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎหมาย เพราะโครงการคอนโดมิเนียมโดยทั่วไปที่ขายห้องสำหรับให้อยู่อาศัยนั้น ผู้ที่ซื้อไปแล้วไม่สามารถไปปล่อยเช่าระยะสั้นรายวันหรือรายสัปดาห์ได้ เนื่องจากไม่ใช่ “โรงแรม” ดังนั้น การดำเนินธุรกิจแบบโรงแรม แต่ไม่ได้เป็นโรงแรมนั้นจึงผิดกฎหมาย ขัดต่อพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 ซึ่งหากตรวจสอบพบ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ถ้าผู้เช่าเป็นชาวต่างชาติต้องแจ้งตำรวจ
กลุ่มลูกค้าสำหรับการปล่อยเช่าคอนโดนั้นไม่ได้มีเพียงแค่คนไทยด้วยกันเอง แต่การปล่อยเช่าคอนโดให้กับชาวต่างชาติที่มาเที่ยวระยะยาว หรือมาทำงานในเมืองไทยนั้นก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีกำลังซื้อสูงมาก แต่ในโอกาสก็มีวิกฤตซ่อนอยู่ด้วยหากผู้ให้เช่าไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยถ้าจะต้องปล่อยเช่าคอนโดให้คนต่างชาติพักอาศัย ผู้ให้เช่าจะต้องแจ้งต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหรือสถานีตำรวจในพื้นที่ให้ทราบ มิเช่นนั้นจะถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย โดยกฎหมายดังกล่าวนี้ มีขึ้นเพื่อป้องกันความปลอดภัยและความสงบของประเทศ รวมถึงของตัวผู้ให้เช่าเองด้วย เพราะเราจะไม่สามารถทราบได้เลยว่าผู้เช่าชาวต่างชาตินั้นเป็นคนดีหรือเป็นอาชญากรข้ามชาติหรือไม่
3. สัญญาเช่าต้องถูกต้องไม่เอาเปรียบผู้เช่า
เรื่องของสัญญาเช่าคอนโดก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ผู้ให้เช่าส่วนใหญ่อาจละเลยไป ไม่ได้ตรวจสอบให้ดีว่าเงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ นั้นเป็นไปตามข้อกฎหมายหรือไม่ ยกตัวอย่างข้อกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครองผู้เช่า เช่น ผู้ให้เช่าต้องส่งใบแจ้งหนี้ล่วงหน้าแก่ผู้เช่าไม่น้อยกว่า 7 วัน ผู้ให้เช่าต้องมอบสัญญาให้ผู้เช่าเก็บไว้ 1 ฉบับ ผู้ให้เช่าห้ามเรียกเก็บค่าเช่าล่วงหน้าเกิน 1 เดือน ห้ามเรียกเก็บเงินประกันเกิน 1 เดือน เป็นต้น รายละเอียดเงื่อนไขการให้เช่าที่ต้องระบุเอาไว้ในสัญญาเหล่านี้ อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้น และมีการตรวจสอบว่าสัญญามีความผิดพลาด ขัดต่อข้อกฎหมาย ก็จะทำให้ผู้ให้เช่าไม่สามารถเรียกร้องเอาผิดกับทางผู้เช่าได้นั่นเอง เรียกได้ว่า หากต้องการให้การเช่าเป็นไปอย่างราบรื่น ก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการทำสัญญาให้ถูกต้องที่สุด
แม้การปล่อยเช่าคอนโดจะเป็นหนึ่งในรูปแบบการลงทุนอสังหาฯ ที่สร้างโอกาสในการทำรายได้แบบ Passive Income ให้กับนักลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ผลลัพธ์จะออกมาสำเร็จราบรื่นได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนได้ดำเนินการปล่อยเช่าคอนโดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยหรือไม่ ตลอดไปจนถึงนักลงทุนยังจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงในการหาผู้เช่าให้ได้ต่อเนื่อง การวางแผนการเงินให้พร้อมรองรับช่วงเวลาที่ยังหาผู้เช่าไม่ได้ด้วย เพราะหากมองข้ามความเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ไป แล้วสถานการณ์สภาพเศรษฐกิจมีปัญหา ก็จะส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนให้ล้มเหลวไม่เป็นไปตามเป้าหมายได้
Simplifying Property, Together.
ร่วมกันทำให้เรื่องอสังหาฯ ง่ายขึ้น
ฮวงจุ้ยคอนโด
ชั้นและเลขห้องคอนโดสำหรับธาตุดิน
สำหรับคนที่เกิดในปีนักษัตร ฉลู ปีมะโรง มีมะแม และปีจอ อันดับแรกการเลือกชั้นคอนโดและเลขห้องคอนโดควรจะลงท้ายด้วยเลข 5,0,2,7 (หรือเป็นเลขตัวเดียวก็ใช้ได้เช่นกัน) โดยตัวเลขเหล่านี้จะเป็นเลขเสริมมงคลให้กับคนธาตุดินได้เป็นอย่างดี ส่วนตัวเลขที่ควรหลีกเลี่ยงนั่นก็คือห้องที่ลงท้ายด้วย 3,8,4,9
ชั้นและเลขห้องคอนโดสำหรับธาตุทอง
สำหรับคนเกิดปีวอกและปีระกาซึ่งถือได้ว่าเป็นธาตุทอง ชั้นและเลขห้องนำโชคสำหรับคอนโดฯ ควรจะลงท้ายด้วยตัวเลข 4,9,5,0 ซึ่งถือว่าเป็นเลขดีตามหลักฮวงจุ้ยสำหรับคอนโดฯ ที่เหมาะคนเกิดปีวอกและระกา ส่วนตัวเลขที่ควรหลีกเลี่ยงคือ 1,6,2,7 เพราะเป็นตัวเลขที่ไม่ถูกโฉลกกับธาตุทอง
ชั้นและเลขห้องคอนโดสำหรับธาตุน้ำ
สำหรับผู้ที่เกิดปีชวดและปีกุนนั้นอยู่ในธาตุน้ำ โดยชั้นและเลขห้องที่เหมาะกับคอนโดฯ ของคนที่เกิดปีชวดและกุนนั้นคือเลขห้องที่ลงท้ายด้วย 1,6,4,9 ถือว่าเป็นเลขนำโชคสำหรับคนธาตุน้ำ ส่วนชั้นและหมายเลขห้องคอนโดฯ ที่ควรหลีกเลี่ยงตามหลักฮวงจุ้ยนั่นก็คือห้องที่ลงท้ายด้วยเลข 5,0,3,8
ชั้นและเลขห้องคอนโดสำหรับธาตุไม้
ผู้ที่เกิดปีขาลและปีเถาะจะจัดอยู่ในธาตุไม้ ชั้นและหมายเลขห้องคอนโดฯ ตามหลักฮวงจุ้ยที่เป็นมงคลกับธาตุไม้นี้นั่นก็คือหมายเลขที่ลงท้ายด้วย 3,8,1,6 ส่วนหมายเลขต้องห้ามที่ชาวธาตุดินไม่ควรเลือกคือหมายเลขที่ลงท้ายด้วยเลข 2,7,4,9
ชั้นและเลขห้องคอนโดสำหรับธาตุไฟ
มาถึงธาตุสุดท้ายนั่นคือธาตุไฟคือผู้ที่เกิดในปีนักษัตรมะเส็งและมะเมียชั้นและเลขห้องที่เป็นมงคลกับคนธาตุไฟนี้ควรจะเป็นห้องที่ลงท้ายด้วยเลข 2,7,3,8 ส่วนหมายเลขห้องที่ไม่เป็นมงคลสำหรับคนธาตุไฟก็คือห้องที่มีหมายเลขห้องที่ลงท้ายด้วย 1,6,5,0 ถือว่าเป็นเลขที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับธาตุไฟ
ฮวงจุ้ยในการเลือกคอนโดฯ นั้นถือเป็นปัจจัยเสริมในการเลือกคอนโดฯ ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล แต่ทั้งนี้เราควรวิเคราะห์ทั้งสภาพแวดล้อมรวมถึงทำเลควบคู่กันไปด้วย การที่จะเลือกคอนโดฯ สักแห่งนั้นขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ซื้อไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่เอง หรือซื้อเพื่อลงทุน ฯลฯ ส่วนเรื่องฮวงจุ้ยก็เป็นอีกปัจจัยเสริมเพื่อสร้างความสบายใจได้อีกทางหนึ่ง
Simplifying Property, Together.
ร่วมกันทำให้เรื่องอสังหาฯ ง่ายขึ้น
การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศ
การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศ
1. ทุก 6 เดือน: สำหรับการใช้งานแอร์ทั่วไปในบ้านพักอาศัย ถ้าไม่ได้ใช้งานอย่างหนัก การล้างแอร์ปีละ 2 ครั้งก็เพียงพอ ช่วยลดการสะสมของฝุ่นละอองและเชื้อโรค
2. ทุก 3 เดือน: หากใช้แอร์บ่อยหรือใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่นในสำนักงาน ร้านค้า หรือพื้นที่ที่ต้องการความเย็นตลอดทั้งวัน ควรล้างแอร์ทุกๆ 3 เดือนเพื่อรักษาประสิทธิภาพและความสะอาด
3. ทุก 1-2 เดือน: สำหรับสถานที่ที่มีฝุ่นเยอะ หรือในครอบครัวที่มีเด็กเล็ก คนที่เป็นภูมิแพ้ หรือสัตว์เลี้ยง ควรล้างแอร์บ่อยขึ้น เช่น ทุกๆ 1-2 เดือน เพื่อลดการสะสมของฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้
4. สัญญาณที่แสดงว่าแอร์ควรล้าง:
แอร์เย็นน้อยลงหรือไม่ค่อยเย็นเหมือนเดิม
มีกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาจากแอร์
แอร์มีเสียงดังผิดปกติ
มีน้ำหยดหรือน้ำรั่วจากเครื่องปรับอากาศ
การล้างแอร์เป็นการดูแลรักษาที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศ ลดค่าไฟฟ้า และรักษาสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ดังนั้น ควรตั้งเวลาและทำความสะอาดแอร์ตามความถี่ที่เหมาะสมเพื่อให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศ อย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่อง แต่ยังช่วยให้แอร์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และช่วยให้คุณมีอากาศที่สะอาดสดชื่นในบ้านหรือที่ทำงาน นี่คือวิธีการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศที่ควรปฏิบัติ:
1. ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศเป็นประจำ
แผ่นกรองอากาศ ควรถอดออกมาทำความสะอาดทุกๆ 1-2 สัปดาห์ หรือเดือนละครั้งสำหรับการใช้งานทั่วไป
ใช้แปรงขนนุ่มหรือผ้าเปียกเช็ดทำความสะอาดฝุ่นที่สะสม หรืออาจล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วผึ่งให้แห้งก่อนใส่กลับไป
การทำความสะอาดแผ่นกรองช่วยให้แอร์เย็นขึ้น ลดการทำงานหนัก และประหยัดค่าไฟฟ้าได้
2. ล้างคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน
คอยล์เย็น (ส่วนที่อยู่ภายในห้อง) ควรล้างทุกๆ 6 เดือนหรือ 3 เดือน สำหรับพื้นที่ที่มีฝุ่นมาก หรือใช้งานแอร์อย่างหนัก
คอยล์ร้อน (ส่วนที่อยู่ภายนอก) ก็ควรล้างเป็นระยะๆ เพื่อขจัดฝุ่นหรือสิ่งสกปรกที่อาจเกาะติดอยู่ เพราะจะส่งผลให้เครื่องทำงานหนักขึ้นและใช้พลังงานมากขึ้น
3. ตรวจเช็คท่อน้ำทิ้ง
ท่อน้ำทิ้งที่อุดตันจะทำให้เกิดปัญหาน้ำรั่วไหล ดังนั้นควรตรวจสอบและทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่ใช้งานเครื่องปรับอากาศหนัก
หากพบว่าท่อน้ำทิ้งอุดตันหรือมีสิ่งสกปรกสะสม ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแล
4. ตรวจสอบการทำงานของรีโมทคอนโทรลและตั้งค่าอุณหภูมิให้เหมาะสม
ตรวจเช็คการทำงานของรีโมทคอนโทรลและแบตเตอรี่ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรตั้งอุณหภูมิแอร์ให้เหมาะสม เช่น 25-27 องศาเซลเซียส ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานและช่วยให้เครื่องไม่ทำงานหนักเกินไป
5. เช็คระบบไฟฟ้าและสายไฟ
ตรวจสอบสภาพสายไฟและปลั๊กเสียบว่ามีการชำรุดหรือมีคราบสกปรกหรือไม่ การดูแลเรื่องนี้จะช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาด้านไฟฟ้าหรือไฟรั่วซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน
6. ตรวจสอบเสียงและกลิ่น
หากได้ยินเสียงดังผิดปกติหรือมีกลิ่นอับจากเครื่องปรับอากาศ ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพหรือปัญหาภายในเครื่อง
7. ล้างแอร์และตรวจสอบโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ
ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาล้างแอร์และตรวจสอบระบบอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อเช็คว่ามีส่วนไหนที่เสื่อมสภาพหรือชำรุด รวมถึงตรวจเช็คสารทำความเย็น (น้ำยาแอร์) เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพ
8. ป้องกันไม่ให้แอร์ถูกแสงแดดโดยตรง
โดยเฉพาะคอยล์ร้อนที่อยู่นอกบ้าน หากติดตั้งในบริเวณที่โดนแสงแดดจ้า ควรหาที่บังแดดหรือติดตั้งในที่ร่ม เพราะแสงแดดจะทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้นและเสื่อมสภาพได้เร็ว
การดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดค่าไฟฟ้า และยืดอายุการใช้งานไปได้อีกหลายปี การหมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองและส่วนต่างๆ ของแอร์เป็นประจำ รวมถึงการตรวจสอบระบบโดยช่างผู้เชี่ยวชาญตามรอบเวลา จะทำให้เครื่องปรับอากาศของคุณใช้งานได้ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุด
Simplifying Property, Together.
ร่วมกันทำให้เรื่องอสังหาฯ ง่ายขึ้น
ข้อควรรู้ก่อนปล่อยเช่าคอนโด
1. สัญญาเช่า
การเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรจึงถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญในการใช้บังคับคดี ในกรณีที่ผู้เช่าและผู้ให้เช่ามีปัญหาที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกัน
2. หาคนเช่าด้วยการ หาเอง ติดต่อนายหน้า หรือนิติบุคคล
ในปัจจุบัน การหาผู้เช่า มีหลักๆด้วยกัน 3 วิธี คือ หาด้วยตัวเอง นายหน้า และ นิติบุคคล
3. ทำ list และถ่ายรูปห้อง
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาของหาย หรือได้คืนไม่ครบ จึงมีความจำเป็นที่ต้องเขียนสิ่งเหล่านี้ลงไปในสัญญาให้ชัดเจน โดยเขียนรายการแนบท้ายไว้กับตัวสัญญา เพื่อที่ตรวจสอบได้ในภายหลังว่า สภาพก่อนและหลังก่อนเช่านั้นแตกต่างกันอย่างไร
4. ของเสียใครต้องรับผิดชอบ
กำหนดกันให้ชัดเจนในสัญญาว่าใครรับผิดชอบอะไร และสาเหตุของการเสียหายเกิดจากใคร และถ่ายรูปสภาพห้องกันก่อนให้เรียบร้อย
5. เงินประกันการเช่า
เป็นปกติของการเช่าที่ผู้ให้เช่ามักเรียกเก็บ “เงินประกันสัญญา” หรือ “เงินประกันการเช่า” จากคนเช่า (หรือบางทีก็เป็นในรูป “มัดจำ” คือจ่ายกันก่อนเริ่มเช่าเพื่อเป็นประกันว่าจะเช่าจริง) ซึ่งเงินนี้จะจ่ายล่วงหน้าให้ผู้ให้เช่าเก็บไว้ ส่วนใหญ่จะเท่ากับค่าเช่า 2-3 เดือน แล้วแต่เจรจา
6.เบี้ยปรับ
สำหรับคนผู้เช่าที่ชอบเบี้ยว หรือจ่ายไม่ตรงเวลา ผู้เช่าควรกำหนดวันถึงกำหนดชำระให้ชัดเจน ว่า ผู้ให้เช่ามีสิทธิเรียกค่าปรับได้ ถึงแม้ในชีวิตจริงผู้ให้เช่าสามารถอะลุ่มอล่วยให้ได้ แต่ควรระบุสิทธิกับผู้ให้เช่าไว้ก่อน เพื่อป้องกันปัญหาข้างต้น
7.เช่านานแค่ไหน ต่ออายุยังไง
ระยะเวลาในการเช่านั้นมีความหลากหลาย ซึ่งแล้วแต่จะตกลงกัน เช่นตั้งแต่ 1 ปี 2 ปี โดยมีระยะเวลาสั้นที่สุด คือ 6 เดือน ซึ่งในสัญญาควรระบุให้ชัดเจนว่า ต่ออายุสัญญญากันอย่างไร
8. ใคร ต้องจ่ายอะไรบ้างระหว่างเช่า
โดยปกติ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเคเบิ้ลทีวีควรให้ผู้เช่ารับผิดชอบ ส่วนค่าส่วนกลาง (ถ้ามี) ขึ้นอยู่กับการเจรจา แต่ส่วนใหญ่ผู็ให้เช่าจะรับผิดชอบ โดยอาจคิดคำนวนแฝงไว้ในค่าเช่าเข้าไปแล้วก็ได้
9. หมดสัญญาเช่าแค่ผู้เช่าไม่ยอมออก
โดยปกติหากสัญญาเช่าหมดแล้ว หรือคนเช่าทำผิดสัญญาแล้วเราบอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว ผู้เช่าควรย้ายออกแต่โดยดี หากเกิดกรณีผู้เช่าไม่ยอมย้าย วิธีแก้ตามหลักคำพิพากษาศาลฎีกาไทยเราก็คือ ต้องระบุสิทธิของผู้เช่าไว้อย่างชัดเจนในสัญญาเลยว่า ให้ผู้เช่ามีสิทธิเปลี่ยนกุญแจ ล๊อคประตู กลับเข้าครอบครองสถานที่ และ/ตัดน้ำ ตัดไฟได้เลย
10. ค่าเช่าต้องเสียภาษีอะไรบ้าง
ตากหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ภาษีที่ต้องจ่ายจริงๆ ก็มีอยู่ 3 ประเภท แต่จะเสียครบทุกประเภทหรือไม่นั่นขึ้นยู่กับประเภทของคนเช่า และคนให้เช่าว่าเป็นบุคคลประเภทใด และตกลงกันเป็นรายกรณีไป
- ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีผู้ให้เช่าเป็นบุคคลธรรมดา มีผู้เช่าเป็นบริษัท หรือนิติบุคคล โดยปกติ บริษัท และนิติบุคคลเหล่านี้ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย จำนวนร้อยละ 5 ของจำนวนค่าเช่าแต่ละครั้งที่จ่ายให้เราในฐานะผู้ให้เช่า และผู้เช่าจะส่ง“หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” ให้ฐานะผู้ให้เช่าเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
- อากรแสตมป์ติดบนตัวสัญญาเช่า จำนวนเท่ากับอัตราค่าเช่า 1,000 บาท ต่ออากรแสตมป์ 1 บาท เช่น สัญญาเช่า 1 ปี ค่าเช่าทั้งหมด 200,000 บาท อากรแสตมป์จะเท่ากับ 200 บาท
- ภาษีโรงเรือนและที่ดิน จะเสียในอัตรา 12.5% ของค่าเช่าทั้งปี คิดง่ายๆ จะเท่ากับค่าเช่า 1 เดือนครึ่งโดยเสียเป็นรายปี จ่ายที่สำนักงานเขตที่คอนโดตั้งอยู่
ดังนั้น การให้ความสำคัญกับ 10 ข้อควรรู้ดังกล่าว ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากก่อนจะมีการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการเขียนสัญญา ควรเขียนให้ชัดเจน ให้รับรู้รับทราบอย่างทั่วกัน เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดปัญหาระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่า ที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้นั่นเอง
Simplifying Property, Together.
ร่วมกันทำให้เรื่องอสังหาฯ ง่ายขึ้น